เทศน์เช้า

ครูที่เป็นธรรมต้องติด

๑๖ ต.ค. ๒๕๔๒

 

ครูที่เป็นธรรมต้องติด
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๔๒
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ส่วนใหญ่บอกเลย ทางฝ่ายการศึกษาบอกว่า อย่าติดครูบาอาจารย์ ห้ามติดในครูบาอาจารย์นะ ให้ศึกษาเอา ให้ติดธรรม ถ้าติดครูบาอาจารย์แล้วมันจะเป็นอาจริยวาท เป็นมหายานไป “ห้ามติดครูบาอาจารย์” การติดครูบาอาจารย์กลายเป็นเชื่อบุคคล ไม่เชื่อพระพุทธเจ้า ไม่ให้เชื่อตัวบุคคล ให้เชื่อพระพุทธเจ้า

แต่สำหรับฝ่ายเรา เราก็เชื่อพระพุทธเจ้า เชื่อพระพุทธเจ้า เอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก แต่ครูบาอาจารย์นี้เป็นเทคนิค เป็นผู้ชี้นำทางต่างหาก ถ้าไม่มีเทคนิคชี้นำทางนี่ยุ่งเลย เห็นไหม นี่เชื่อพระพุทธเจ้าแน่นอน แต่เพราะพวกเรามันมีกิเลส พอมันมีกิเลส มันจะเข้าข้างตัวเองหมด การศึกษามา ไอ้เทคนิคเครื่องดำเนินนี่ยากมากเลย ไอ้เชื่อพระพุทธเจ้าโดยพื้นฐานอยู่แล้ว แต่เทคนิคไม่มี มันก็เข้าได้ยากนะ

อีกฝ่ายหนึ่ง ที่ว่า เชื่อครูบาอาจารย์จนเกินไป นี่ฉลองครบรอบกี่ร้อยปีกี่พันปีของเขา ค้นพบวิชาการใหม่น่ะ นั้นก็เชื่อจนแบบว่าไม่ยึดหลักของพระพุทธเจ้าเลย เพราะอะไร เพราะครูบาอาจารย์ผิด มันชี้ผิดเลย เห็นไหม เพราะครูบาอาจารย์เข้าไม่ได้จริง ชี้ แล้วความเชื่อ เชื่ออย่างนั้นหนึ่ง

แต่เชื่ออย่างไรก็แล้วแต่นะ มันจะรู้อยู่ว่าผิดถูก เพราะมันไม่ได้กำจัดกิเลส เจ้าชายสิทธัตถะเชื่ออาฬารดาบสมาก่อน อุทกดาบส อาฬารดาบส เข้าไปแล้วก็ยังรู้ว่ามันกำจัดไม่ได้จริง ถ้าเชื่อแล้วบริสุทธิ์ใจนะ อย่างหลวงปู่มั่น มีพระเข้าไปหาหลายองค์เลย แล้วไม่เชื่อหลวงปู่มั่นก็มาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ๆ เลย แล้วเจอโยมนั้นก่อน สะบัดหน้าหนีเลย ไม่เชื่อพระพุทธเจ้า เห็นไหม ถึงจึงไม่เชื่อก็เยอะแยะไป คนมันความไม่เชื่อ เพราะมันรู้จริง แต่ไม่เชื่อ แต่เห็นผลประโยชน์ นั่นอีกรูปแบบหนึ่ง

แล้วตอนหลัง เห็นไหม ที่ว่าอีกรูปแบบที่ว่า ไม่ให้เชื่อใครเลย ให้ฝึกจากตัวเอง ฝึกจากตัวเองเลย มีพระปัจเจกพุทธเจ้า มีพระพุทธเจ้าก่อน สยัมภู รู้ด้วยตนเอง ฝึกด้วยตนเองน่ะพระปัจเจกพุทธเจ้า กับที่ไม่มีครูบาอาจารย์จริง ต้องขวนขวาย ต้องพยายามดิ้นรนไป ไม่มีครูบาอาจารย์นี่ก็ต้องช่วยตัวเองโดยธรรมชาติ ต้องช่วยตัวเองอยู่แล้ว ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ที่จะชี้นำได้ก็ต้องช่วยตัวเอง แล้วอาศัยธรรมะพระพุทธเจ้านี้ไป

แต่แสนยากเลย เพราะอะไร เพราะอย่างที่ว่าเมื่อกี้ เริ่มต้นขึ้นมาทุกคนมันต้องเอาความเห็นตัวเข้าไปก่อน ประสบการณ์สิ่งที่คนไม่เคยเจอ พอเข้าไปเจอสิ่งใดแปลกๆ ใหม่ๆ ที่ว่าอันนี้เป็นผล อันนี้เป็นผล เป็นผล แล้วสิ่งที่ว่ามันมองให้ลึกเข้าไปไง “หญ้าปากคอก” ความสะอาดเริ่มต้นจะเข้าไป

เราอยู่กับครูบาอาจารย์มานะว่า สำคัญที่สุดเลย “ศีล” ถ้าศีลไม่บริสุทธิ์นะ ศีลไม่สะอาดพอนะ เหมือนกับภาชนะเรานี่ ภาชนะเราเปื้อนยา เปื้อนสารพิษ แล้วไปใส่อาหาร เห็นไหม ไปใส่อาหาร อาหารนั้นก็ต้องเปื้อนสารพิษไปด้วย นี่เหมือนกัน ใจเรามีกิเลสอยู่แล้ว เวลาคิดอะไรขึ้นมา มันจะมีกิเลสนำไปด้วย ฉะนั้น มันจะพุ่งไปข้างหน้าอย่างเดียวเลย มันไม่กลับมาดูหญ้าปากคอกนี่ไง หญ้าปากคอกนี่สำคัญ

ดูสิ ดูอย่างที่ว่าอาจารย์เจี๊ยะไปหาหลวงปู่มั่น เห็นไหม ขนาดพิจารณากายผ่านไปแล้วนะ ไปหาหลวงปู่มั่น ถามหลวงปู่มั่นเลยว่า อธิบายการประพฤติปฏิบัติของตัวเองให้หลวงปู่มั่นฟัง “พิจารณากายเป็นชั้นๆๆ ผ่านเข้ามา แล้วให้ผมทำอะไรต่อครับ”

หลวงปู่มั่นบอกว่า “พิจารณากายซ้ำอีก”

ถ้าเป็นคนอื่น คิดอย่างนั้นไม่ได้ เพราะเราพิจารณากายไปแล้ว เห็นไหม กาย เวทนา จิต ธรรม พิจารณากายไปแล้วก็คิดว่าจะให้สูงขึ้นไปๆๆ ความว่าสูงขึ้นไปมันจะทิ้งตรงนี้ นี่หญ้าปากคอก

กิเลสมันเกิดที่กายกับใจ จริงๆ แล้วเกิดที่ใจอย่างเดียว แต่ใจมันอาศัยกายนี้อยู่ด้วย ใจนี่อาศัยอยู่ที่กาย ก็พิจารณากายมันก็สะเทือนใจ แต่สุดท้ายแล้วกิเลสมันอยู่ที่ใจ ต้องพิจารณาใจอย่างเดียว แต่ในเมื่อคนมันจริตนิสัย คนพิจารณากายเข้ามาเรื่อยๆ แสดงว่าเขามีรากฐานทางนั้นมา

ยกเว้นไว้แต่วาสนาบารมีของบุคคล พิจารณากายแล้วมาพิจารณาเวทนา พิจารณาจิตขึ้นไป นั่นอีกชั้นหนึ่ง นั่นก็เป็นแต่ละบุคคล แต่ส่วนใหญ่แล้วเป็นพิจารณากายก็เป็นพิจารณากายมาเลย พิจารณาจิตก็พิจารณาจิตมาเลย นี่การพิจารณามา ครูบาอาจารย์ที่ผ่านแล้ว จับหลักการได้แล้ว เขาจะลงมาชี้ตรงนี้ไง ตรงนี้ คนนี้มาทางไหน แล้วมาอย่างไร ถึงไม่มีสำเร็จรูป

ทีนี้ อย่างที่ว่าพิจารณาเอง ที่ว่าเขาว่าพิจารณาเองโดยที่ว่าไม่ต้องอาศัยครูบาอาจารย์นะ ผู้รู้ธรรมขึ้นมาเองน่ะ คนภาวนาจะรู้เลยว่าอันนี้ธรรมมันเกิด เวลาพิจารณาไปมันมีความเห็นต่างๆ เกิด ความเห็นต่างๆ นี้บอกเมื่อกี้แล้วเห็นไหม ความเห็นต่างๆ มันเจือไปด้วยสารพิษของเราเอง มันเป็นสะอาดไปไม่ได้ มันจะตกอย่างมากสูงที่สุดคืออุปกิเลส ๑๖ เกิดความสว่าง เกิดความเห็นต่างๆ ขึ้นมา แล้วความเห็นนั้นเป็นอุปกิเลส คือว่ากิเลสมันอ่อนตัวลงเท่านั้นเอง มันไม่สามารถชำระสังโยชน์ขาดออกไป มันถึงว่าไม่เป็นอกุปปธรรมไง

อกุปปธรรม คือธรรมที่เจริญแล้วไม่เสื่อม กุปปธรรม คือธรรมที่เจริญแล้วเสื่อม เจริญแล้วเสื่อม ไอ้นี่ก็เหมือนกัน ธรรมใน สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา กับธรรมในสมุจเฉทปหานนะ ในอกุปปธรรมต่างกันมากเลย

นี่มันถึงว่าสำคัญตรงที่ครูบาอาจารย์ชี้สอนไง ครูบาอาจารย์ชี้สอน ไม่ใช่เชื่อครูบาอาจารย์ด้วยหัวปักหัวปำ ส่วนใหญ่นะ ผู้นักปฏิบัติเข้าไปรู้เองโดยประสบการณ์ตรง จะเชื่อมั่นตนเองมาก แล้วจะเถียงแบบหัวชนฝาเลย ไม่มีทางจะเชื่อง่ายๆ หรอก สำคัญอีกว่า ครูบาอาจารย์ที่ว่าผู้ที่ผ่านแล้ว เทคนิคอันนั้นยิ่งเยี่ยมเข้าไปใหญ่

อย่างอาจารย์ว่า อย่างกับตาสับปะรด ตารอบตัว เราเอง เราทำของเราไปเองนะ ประสบการณ์เราเข้าไปเจอเองเลยนะ อันนี้มันไม่ครบองค์ประกอบ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ คือว่าประสบการณ์มันยังไม่สะอาดบริสุทธิ์พอ แต่เข้าไปเห็นแล้วล่ะ นี่มันจะยึด มันเป็นนามธรรม มันจะยึดว่าตัวเองเห็น แล้วจะค้านว่าอันนี้ตรง อันนี้ถูกต้อง แล้วพอไปกราบเรียนผลพวง คือว่าเข้าไปส่งปัญหาถามตอบไง คือว่าจะให้อาจารย์รับประกันว่าอันนี้ถูกต้องไหม

เพราะอย่างน้อยๆ มันก็มีความลังเลสงสัย ไปถึงหน้าอาจารย์ อาจารย์จะใช้เทคนิคล่อให้ไปไง คือว่าให้พิจารณาซ้ำเข้าไป หรือว่าหลอกใช้อุบายพลิกแพลงออกไปอย่างไร นี่มันยังมีเทคนิคอันนั้นอีกมหาศาลเลย มันไม่ใช่ว่าเราเข้าไปเจอแล้วมันจะถูกต้องไปหมดหรอก

ถ้าเจอถูกต้องนะ มันสมุจเฉทปหานนะ มันจะไม่สงสัยเลย ไม่ต้องให้ใครการันตีเลย นี่ปัจจัตตัง รู้จำเพาะตน ธรรมะพระพุทธเจ้ามหัศจรรย์ขนาดนั้นน่ะ แม้แต่รู้แล้วนะ นี่ลูกศิษย์ในสมัยพุทธกาล จะไปถามพระพุทธเจ้าไง ไปถึงกุฏิ แล้วฝนมันตกลงมา แล้วน้ำฝนตกลงไป มันแตก นี่เดินมาเพื่อถามปัญหาไง ทำไมไปถึงบันไดแล้วไม่ก้าวขึ้นไปถามปัญหา ทำไมพอมันแตกก็เลยกลับล่ะ กลับเลยนะ เพราะอะไร เพราะขึ้นไปท่านก็พูดอย่างนี้เหมือนกัน แล้วพระพุทธเจ้าอยู่ข้างบนกุฏิก็รู้ด้วยว่ามันเหตุเกิดอะไร เห็นไหม

มีในสมัยพุทธกาลไง เข้าใจว่าตัวเองสำเร็จเป็นพระอรหันต์ แล้วก็ประกาศข่าวว่าจะมาส่งผลงานพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าส่งให้คนไปบอกเขาเลย นี่พระพุทธเจ้ารู้ขนาดนั้นน่ะว่าอย่าให้เข้ามาพบนะ ให้ไปที่ป่าช้านั้นก่อน ให้วนออกไปที่ป่าช้าก่อน พอไปที่ป่าช้า สมัยพุทธกาลน่ะ ศพเขาไม่เผาไง ไปเจอศพใหม่ๆ เข้ามีอารมณ์ มีความรู้สึกแล้ว รู้เลยว่าตัวเองไม่ใช่พระอรหันต์ เห็นไหม แต่ตอนที่ยังไม่เจอสิ่งอารมณ์กระทบ มันคุมใจได้อยู่ มันเข้าใจว่าเป็นพระอรหันต์

นี่สมัยพุทธกาลนะ เข้าใจว่าเป็นพระอรหันต์แล้วจะออกพรรษาแล้วก็จะมากราบเรียนพระพุทธเจ้าว่าตัวเองสำเร็จเป็นพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าบอกส่งข่าวไปก่อน ให้คนไปบอกว่า อย่าเพิ่งเข้ามา ไม่ต้องตอบปัญหาเลยไง ให้วนไปเที่ยวที่ป่าช้าก่อน ไปเจอซากศพตายใหม่ ซากศพฝ่ายตรงข้าม ผู้หญิงตายใหม่อย่างนี้ นี่อารมณ์มันหวั่นไหวแล้ว นี่พระอรหันต์เหรอ แต่ขณะที่ว่าเขาสำคัญตนว่าเป็นพระอรหันต์ เห็นไหม นี่สมัยพุทธกาลก็มี

ที่ว่า ถ้าไม่จำเป็น ครั้งแรกว่าอย่าไปติดในครูบาอาจารย์ไง คำว่า “อย่าไปติดในครูบาอาจารย์” มันพูดไปพูดเพื่อเห็นแก่ตัว แต่ในฝ่ายปฏิบัติของเรา ครูบาอาจารย์นี่สำคัญที่สุด อาจารย์มหาบัวบอกเลย การติดครูบาอาจารย์นี่ติดแบบสุดๆ เลย เพราะอะไร เพราะเหมือนกับเด็กน้อย เหมือนกับไอ้พลอยมันติดพ่อแม่นั่นน่ะ มันต้องติด ตัวเองยังก้าวเดินไม่ได้เลย มืดแปดด้าน ต้องติด ต้องติดครูบาอาจารย์ก่อน ออกจากครูบาอาจารย์นะ เหมือนกับออกจากพี่เลี้ยง พี่เลี้ยงจะคอยประคอง ใจจะตกทันทีเลย มันจะหวั่นไหว มันจะอ่อนแอ มันจะกลัว มันจะวิตกกังวลทั้งนั้นเลยนะ

แต่ถ้ามีที่พึ่ง เกาะครูบาอาจารย์ก่อน เริ่มต้นต้องเกาะครูบาอาจารย์ก่อน แต่เกาะไปแล้วนี่ผิดถูก ตัวเองต้องรู้นี่ เพราะคนอยู่ด้วยกันนะ ศีลจะรู้เมื่ออยู่ด้วยกันนานๆ ธรรมจะรู้ได้ต่อเมื่อตอบปัญหาเรานั่นน่ะ เราถามปัญหาไป ตอบปัญหามาถูกหรือผิด ถ้าเราขึ้นไปนี่ ถ้าเราผิด อาจารย์ตอบถูกนะ มันก็ยังข้องใจอยู่ แต่มันผิดจริงๆ มันก็ต้องผิด แต่ถ้าเราถูก อาจารย์ตอบผิด อันนี้สำคัญ มีเยอะแยะไปเลยที่เราถูกแล้วอาจารย์ตอบผิด นี่ถึงว่าอย่างนั้นมันจะรู้ไปเอง

ถึงบอก ต้องติด ติดในครูบาอาจารย์ที่รู้จริงไง ดูอย่างเช่นอาจารย์มหาบัวสิ ออกจากครูบาอาจารย์ไม่ได้เลย พอออกไปนี่มันเป็นไปไม่ได้ คือว่าความเห็นมันเป็นไปไม่ได้ มันไม่รู้ พอไป มันวัวพันหลัก แก้ไม่ได้เลย คือว่าห่างอาจารย์ไม่ได้เลย ท่านพูดเองว่าห่างอาจารย์ไม่ได้เลย ต้องกลับไป พอกลับไป อันนี้เป็นอย่างไร ตอบโช๊ะ! ขาด โช๊ะ! ขาด เห็นไหม

เหมือนกับเรา เด็กมันเล่นกัน ไอ้กลุ่มด้ายที่มันพัน มันแก้ไม่ออกหรอก ไปให้แม่ แม่จับ ๒ ทีก็ออก เพราะอะไร เพราะแม่เข้าใจ แต่เด็กมันไม่รู้หรอก มันจะให้กลุ่มด้ายนี่ออก แต่มันจะดึงออก ยิ่งดึงกลุ่มด้ายยิ่งแน่น แต่ถ้าไปหาผู้ใหญ่นะ เขาจะค่อยๆ แกะออก แกะออก นี้แกะออก นี้กลุ่มด้ายนะ กลุ่มด้ายสิ่งนี้ ว่ากลุ่มด้ายนี้ดึงสิ่งที่แก้ยากที่สุดแล้ว แต่ความเห็นภายในยิ่งกว่ากลุ่มด้ายอีก เพราะอะไร

เพราะมันเป็นนามธรรม มันเป็นไปได้หมดทุกๆ อย่าง

ทั้งๆ ที่ ๑. วาสนามันบังคับให้เป็นไปนะ

๒. นิมิตที่เกิดขึ้น นี่ความสะสมมา วาสนาบังคับให้เป็นไป

๓. เราเข้าไปเห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น มันสร้างรูป สร้างทุกอย่างได้

ทำไมคนแค่จิตสงบ ทำไมเข้าใจว่าตัวเองสิ้นกิเลสได้ แค่จิตสงบเวิ้งว้างหน่อยเดียว มันว่าสิ้นกิเลสเลย มันมหัศจรรย์ขนาดนั้นน่ะ แล้วสิ่งที่มหัศจรรย์นั้นเป็นแค่เริ่มต้นจิตนี้เป็นสัมมาสมาธิ แค่ยกขึ้นวิปัสสนาเท่านั้นเอง นี่เท่านั้นจริงๆ นะ

แล้วทำไมจะมีครูบาอาจารย์ไหนสามารถว่าสิ่งนี้เริ่มต้นแค่ความสงบนั่นน่ะ ที่ว่าว่าง ว่าง ผู้รู้ภายใน ไอ้ที่ว่าผู้รู้รู้จริง สอนออกมาจากภายใน อันนั้นมันเป็นแค่จิตสงบเท่านั้น มันยังต้องจับขึ้นมาเป็นวิปัสสนา หาเหตุหาผล ในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม มันต้องครูบาอาจารย์สอน

เขาจะบอกว่าไม่ติดครูบาอาจารย์เลยก็ไม่ใช่ มีฝ่ายหนึ่งว่าไม่ให้ติดครูบาอาจารย์เลย ถ้าติดครูบาอาจารย์ไปแล้ว มันก็เป็นแบบว่าเป็นอาจริยวาทไง ถือครูอาจารย์เป็นใหญ่ ใหญ่กว่าพระพุทธเจ้า แม้แต่ครูบาอาจารย์ยังมีคนเราหลงใหล จนว่าพระพุทธเจ้าต่ำกว่าไง

“พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์” ครูบาอาจารย์จะสูงกว่าพระพุทธเจ้าได้อย่างไร ถ้าครูบาอาจารย์เป็นธรรมนะ กราบพระพุทธเจ้า ดูครูบาอาจารย์กราบพระพุทธเจ้าสิ กราบด้วยความซึ้งใจ เพราะว่าผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต มันจะซึ้งบุญซึ้งคุณอันนั้นมาก แล้วอันนั้นมันเป็นธรรมที่สูงส่ง ที่ว่าเกือบจะว่าเป็นเหตุสุดวิสัย แล้วครูบาอาจารย์เป็นคนที่ว่ามีทรงอยู่ ถึงจะชี้นำไปได้ไง

นี่มันติด ติดตรงที่ว่าเพื่อขอเทคนิควิธีการไง เทคนิควิธีการที่ครูบาอาจารย์ชี้นำเข้าไปต่างหาก ไม่ใช่ติดว่าอันนี้เป็นธรรม แล้วเกาะลุ่มหลงไง

ธรรมเป็นของกลาง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว พระศรีอริยเมตไตรยยังต้องมาตรัสรู้ไปอีกก็ธรรมอันเดียวกัน พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ตรัสรู้ในอริยสัจเหมือนกัน ตรัสรู้ในอริยสัจนะ รู้อริยสัจตามความเป็นจริงนะ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นะ แล้วจิตมันพ้นออกมาอย่างไร ต้องรู้อริยสัจ แล้ววางอริยสัจไว้ตามความเป็นจริง ไม่ใช่ว่าไปดับทุกข์ในอริยสัจ

รู้ว่าทุกข์ แล้วไปดับอริยสัจไง เครื่องยนต์มันหมุนไป แล้วเราไปแก้เครื่องยนต์ขณะเครื่องยนต์มันหมุนไปได้อย่างไร เครื่องยนต์มันหมุนไป แล้วพอรู้ว่าเราฟังเสียงมัน เราวิเคราะห์วิจัยว่าเครื่องยนต์นี้มันผิด อะไรมันผิด อะไรมันถูกต้อง แล้วดับเครื่องแล้วค่อยแก้ไขออกมา เสร็จแล้วเราปิด เราประกอบเครื่องยนต์จนเรียบร้อย แล้วเราก็ติดเครื่องใหม่ เครื่องมันจะดีไม่ดี เราก็ติด

เหมือนกัน รู้อริยสัจเหมือนกัน รู้ตามความเป็นจริงในอริยสัจ เข้าไปในอริยสัจ คำนวณถูกต้อง แล้วเข้าไปในอริยสัจเลย จิตนี้มันเข้าไปในอริยสัจ แล้วมันหลุดออกมาจากอริยสัจไง ความรู้อริยสัจตามความเป็นจริง เห็นไหม ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มันเกิดมั๊บ! ขึ้นพร้อมกัน เกิดพั่บ! ขึ้นพร้อมกัน เหมือนแสงไฟ เหมือนความรู้ รู้ทีเดียว นี่เวลารู้ไง

เวลารู้ด้วยว่าช้างกระดิกหู งูแลบลิ้นไง แต่มันจะเป็นอย่างนี้ได้ คนจะชำนาญขนาดฟังเสียงเครื่องยนต์เป็นน่ะ ฟังสิ ช่างที่มีความชำนาญการขนาดนี้ มันฝึกมาขนาดไหน ถึงจะฟังเสียงเครื่องยนต์แล้วรู้ว่าอันนี้เป็นอะไร การจะเห็นขนาดอริยสัจได้ กว่าจะรู้ตรงที่ว่าพรึ่บเดียวที่มันรู้นี่ มันต้องสะสมมาจากสุตมยปัญญา

ธรรมของพระพุทธเจ้า สุตมยปัญญาศึกษามา จินตมยปัญญา ปัญญาของเราโดยครูบาอาจารย์คอยชี้นำไง คอยชี้นำขึ้นไป จนมันเป็นภาวนามยปัญญานู่นน่ะ ภาวนามยปัญญาขึ้นไป จนถึงว่าเป็นช่างเครื่องที่ชำนาญการมาก ถ้าช่างเครื่องยังไม่ชำนาญการ ยังไม่สามารถฟังเสียงเครื่องนั้นออกได้หรอก นี่ตรงนี้สำคัญมากเลย

ฝึกงานขึ้นมา จบจากสุตมยปัญญา คือคนที่ศึกษาเล่าเรียนมาจบแล้วทำงานเป็นไหม? ไม่เป็นหรอก ต้องมาฝึกงานอีก แล้วฝึกงานเสร็จแล้ว ฝึกงานทำงานเป็นหรือยัง ประสบการณ์กว่าจะไปโดนหลอก โดนเขาปั่นหัวอีกกี่รอบ ถึงจะมาชำนาญการ ชำนาญการแล้วยังไม่ได้เป็นจริงนะ เพราะอะไร เพราะยังไม่ได้ทำงานของตัวเองเป็นผลประโยชน์ของตัวเอง เป็นปัจจัตตัง รู้จำเพาะตนไง นี่แล้วจะไม่ติดครูบาอาจารย์ได้อย่างไร

ถ้าว่าติดจนผิดไป เราก็ต้องรู้ว่าผิดสิ นี่เหตุผลมันจะบอกเอง ถ้าเป็นไปด้วยความขัดเกลา หนึ่ง เป็นไปด้วยความมักน้อย เป็นไปเพื่อชำระกิเลส นี่อันนี้ครูบาอาจารย์ นี่ธรรมะพระพุทธเจ้า

ถ้าเป็นไปด้วยการอยากใหญ่ เป็นไปด้วยการสะสมมานะทิฏฐิ เป็นไปด้วยลาภสักการะ อันนั้นไม่ใช่หรอก ไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่วินัย วินัยเป็นไปเพื่อความสุข เพื่อความสุขของหมู่สัตว์ เพื่อความเสมอภาค เพื่อความ...มันมีเมตตาค้ำจุนโลกไง อันนั้นถึงเป็นธรรม นี่มันตรวจสอบได้ก็ตรงนี้ไง

เชื่อครูเชื่ออาจารย์ เชื่อไม่เชื่อ เชื่อครูเชื่ออาจารย์ ไม่ให้ติดไม่ได้นะ ต้องติด แต่ติดในวงปฏิบัติ เห็นไหม เราเกิดมากึ่งกลางพุทธศาสนา หลวงปู่มั่นฝึกลูกศิษย์มา เพราะหลวงปู่มั่นก็สั่งต่อๆ กันมา นี่หมู่คณะ ติดในครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ในครูบาอาจารย์ก็ติดกันมาก่อนเป็นชั้นๆ มา แต่ต่อไปมันก็จะน้อยไป เพราะว่ามันต้องมีหลักความเป็นจริงไว้นะ

ธรรมกับอธรรมเข้ากันไม่ได้หรอก ธรรมต้องเป็นธรรมตลอดไป หลวงปู่มั่นนะ ตัวเองสั่งสอนมาก็เป็นธรรมอยู่แล้ว แถมนะ แถมยังส่งต่อมา ท่านพิสูจน์ลูกศิษย์ไว้ก่อนแล้ว ถึงได้ฝากต่อๆ กันว่าองค์นั้นพึ่งได้ องค์นั้นพึ่งได้ นี่ธรรม อธรรมเข้าไปเกี่ยวกับธรรมไม่ได้เลย สั่งไว้เลยนะ สั่งเอาไว้เลยว่าองค์นั้นใช้ไม่ได้ องค์นั้นใช้ไม่ได้ องค์นี้ข้ามหัวพระองค์นั้นมา องค์นั้น...สั่งเอาไว้ วงในรู้ วงในครูบาอาจารย์จะบอกกล่าวกันมาเลยว่าหลวงปู่มั่นพูดว่าไว้ว่าอะไร แต่วงในจริงๆ นะ ไม่ออกมาข้างนอกหรอก พระเหมือนพระ ผู้ใดอยู่ในศีลในธรรม เป็นศีลธรรม แต่กิเลสในหัวใจของพระก็เยอะแยะไป

อธรรมเข้ากับธรรมไม่ได้หรอก ถึงบอกว่า องค์นี้ๆๆ ไม่ใช่ องค์นี้ไม่ใช่ แต่พูดเป็นวงในไว้เพื่อว่าไม่ให้โดนครูบาอาจารย์หลอกไง แต่ครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรม จะบอกเลยนะ อาจารย์สอนประจำ ท่านสั่งท่านเล่าให้ฟังว่าหลวงปู่มั่นบอกว่า “จำไว้นะหมู่คณะนะ ให้พึ่งหลวงปู่ขาว หลวงปู่ขาวเล่าให้หลวงปู่มั่นฟังแล้ว องค์นี้เป็นธรรม” ธรรมเข้ากับธรรม บอกกับพระไว้เลยว่า “อย่าลืมอาจารย์มหาบัวนะ หมู่อย่าลืมอาจารย์มหาบัวนะ” นี่เน้นไว้ตลอดเลย นี่ธรรมเข้ากับธรรมไง

แต่อธรรมเข้าไม่ได้ อธรรมเยอะ บอกไว้เลย “องค์นี้ใช้ไม่ได้ องค์นี้ใช้ไม่ได้ องค์นี้ข้ามหัวองค์นั้นมา องค์นั้นข้ามเหยียบบ่าองค์นี้มา อย่างนี้ใช้ไม่ได้”

ธรรมะเป็นไปด้วยการขัดเกลา ธรรมะเป็นไปไม่ได้ด้วยความอยากใหญ่ ไม่มีความอยากใหญ่ เป็นความขัดเกลา เป็นการมักน้อย เป็นการสันโดษ เป็นความสงบร่มเย็นในสังคมของสงฆ์ เป็นเนื้อนาบุญของโลก เป็นแสงสว่างของโลก เป็นผู้ชี้นำชีวิต อันนั้นต่างหาก

เราถึงว่า เรา ถ้าติดครูบาอาจารย์ ติดครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรม ครูบาอาจารย์ที่ไม่เป็นธรรมเราก็รู้ ใครๆ ก็มองออก มองกันออกนะ ฉะนั้น จะพูดอย่างนั้นก็ไม่ถูก จะไม่ติดเลย เพราะเวลาพูดขึ้นมาเขาจะบอกว่าไม่ให้ติดครูบาอาจารย์ ไม่ให้ติดครูบาอาจารย์ ไอ้เราก็ว่าไม่ให้ติด ไม่ให้ติดครูบาอาจารย์ ให้ติดธรรม

แต่ธรรมมันอยู่ที่ไหน ธรรมมันหายากจะตาย แล้วเราศึกษามา ภาชนะเรามีสิ่งสกปรก เราจะรู้ได้อย่างไรอันไหนเป็นธรรม แล้วทำไมเราทำไม่ได้ ถึงบอกว่า มันจะเป็นประโยชน์ ๒ ชั้น ติดครูอาจารย์ เห็นไหม

หนึ่ง จะว่าทางลัดไม่มี มีทางตรงก็ถูกต้อง

แต่ทางตรงเราไม่เคยเห็น เราเคยเห็นแต่ทางคดโค้งไง ทางคดโค้ง ความทดลองความคิดของเรา แต่ครูบาอาจารย์ชี้ทางตรงเลยนะ แต่เชื่อไม่เชื่อล่ะ? ใหม่ๆ จะไม่เชื่อ มันจะเถียงอยู่ในใจ แต่ก็ลองปฏิบัตินะ คนเรากิเลสมันมาก ในใจมันจะเถียงฉอดๆๆ เลยนะ แต่เอ๊ะ! ท่านว่า ลองทำดู พอทำไปมันประสบเข้าตรงน่ะ พอเราเข้าไปทำปั๊บ ทั้งๆ ที่ว่าเราว่าไม่จริง พอมันจริงผลัวะ! เอ๊ะ! อาจารย์ถูก เอ๊ะ! อาจารย์ถูก เอ๊ะ! อาจารย์ถูก นี่ความเชื่อมันจะเกิดขึ้นเรื่อยๆ ไง เอ๊ะ! อาจารย์ถูก เราผิด ทั้งๆ ที่เราประสบอยู่ เราจับอยู่นะ แต่เราผิด แต่อาจารย์ถูกๆๆ อาจารย์ถูกไปเรื่อย นี่ความเชื่อมันจะสะสมเข้ามาๆ

แล้วขนาดที่ว่าพระอานนท์นะ บอกเลยว่า แม้แต่เทวทัตปล่อยช้างนาฬาคีรีออกมา นี่ยืนขวางเลยนะ ตายแทนได้ มันเคารพบูชาจนว่าเรียก “พ่อแม่ครูจารย์” ทั้งเป็นพ่อ ทั้งเป็นแม่ ทั้งเป็นครูบาอาจารย์ ทั้งเป็นครูสอนวิชาทั้งหมด เลี้ยงทั้งร่างกาย เลี้ยงทั้งจิตใจ

คอยสังเกตนะ หลวงปู่มั่น มีผ้าได้มา ให้ข้างหลังก่อน ให้คนผ้าขาดก่อน อาจารย์มหาบัวบอกว่าสิทธิ์นี้ของหลวงปู่มั่น “เราเป็นพระผู้ใหญ่ว่ะ หาเมื่อไหร่ก็ได้ ไอ้ข้างหลังนี่มันไม่มี” อย่าว่าแต่อาหารนะ ปัจจัย ๔ ท่านดูแลขนาดนั้นน่ะ พระองค์ไหนที่เล็กๆ น้อยๆ ไม่มีญาติโยมเขาศรัทธา ให้คนนั้นก่อน ไอ้เราเป็นพระผู้ใหญ่ เดี๋ยวเขาให้ทีหลังหรอก ไม่มีเขาก็ต้องหาให้ เห็นไหม นี่พ่อแม่ครูจารย์ เลี้ยงทั้งร่างกาย เลี้ยงทั้งจิตใจ แล้วทำไมไม่เป็นที่พึ่ง

ถึงว่า หาอาจารย์ที่เป็นธรรมนี่หาได้ยาก หาครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมแล้วเป็นที่พึ่งของเรา นี่หาได้ยากมาก แต่หาได้แล้ว มันก็ต้องว่าพอหาได้ก็ต้องยึดสิ ยึด แต่ยึดธรรม มันไม่ได้ยึดอธรรมหรอก

ทีนี้ว่า ความยึดอันนี้มันถึงว่าเป็นธรรม ถึงว่าเป็นมรรค มรรคอย่างหนึ่ง กิเลสอย่างหนึ่ง การติดอย่างหนึ่ง มรรคอริยสัจจัง ความอยาก อาจารย์สอนอยู่ ความอยากที่เป็นกิเลส อยากทำความชั่วน่ะ ไม่ต้องอยากทำความชั่ว อยากเฉยๆ นี่ก็เป็นกิเลสนะ เพราะอะไร เพราะเรามีความคิด อยากนี่มันเหมือนกับเด็ก มันอยากได้โดยที่ไม่พอใจ ความอยากนี้เป็นกิเลสอยู่แล้ว

แต่พอมาฟังธรรมก่อน ฟังธรรมก่อนเป็นกัลยาณชน ฟังธรรม ฟังว่า ศีล ๕ อย่างนี้ ศีลนี่เป็นของถูกอยู่แล้ว แต่พอเราจะปฏิบัติศีล พอถือศีล มันขัดใจ อันนี้เป็นความอยาก ปฏิบัติ แต่ความขัดใจไม่ยอมให้ทำ อยากอันนี้เป็นมรรค

อยากที่เป็นมรรค กับอยากที่เป็นกิเลส การติดครูบาอาจารย์ ติดที่เป็นธรรม กับที่ติดเป็นอธรรม ถ้าพวกมากลากไปไง รู้ว่าผิดอยู่ แต่พยายามปิดป้องกันไว้ พยายามจะชักให้ถูกต้อง เห็นไหม อันนั้นเป็นอธรรม “พวกมากลากไป” แต่ถ้าพวกน้อย แต่มันพวกน้อยอยู่ แต่ถูกต้องนะ ตายเป็นตายแทนกัน

อาจารย์มหาบัวท่านพูดอยู่ประจำ ถ้าหลวงปูมั่นยังอยู่นะ ท่านตายแทนหลวงปู่มั่นได้ทันที